.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุดในวันพุธ (21 ธ.ค.) ขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทไนกี้ และเฟดเอ็กซ์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,376.48 จุด พุ่งขึ้น 526.74 จุด หรือ +1.60%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,878.44 จุด เพิ่มขึ้น 56.82 จุด หรือ +1.49% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,709.37 จุด เพิ่มขึ้น 162.26 จุด หรือ +1.54

 

หุ้นไนกี้ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 12.19% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 2 ของปีงบการเงิน 2566 เพิ่มขึ้น 17% สู่ระดับ 1.332 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.257 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากความต้องการรองเท้ากีฬาและอุปกรณ์กีฬาที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งช่วยชดเชยยอดขายที่ลดลงในประเทศจีน

 

ทั้งนี้ ยอดขายในอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของไนกี้ พุ่งขึ้น 30% ขณะที่ยอดขายในจีนลดลง 3% เนื่องจากมาตรการเข้มงวดในการควบคุมโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขาย

 

หุ้นเฟดเอ็กซ์ ซึ่งเป็นบริษัทจัดส่งพัสดุและสินค้าระหว่างประเทศรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 3.43% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2 ของปีงบการเงิน 2566 ที่ระดับ 3.18 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.82 ดอลลาร์/หุ้น ขณะเดียวกันเฟดเอ็กซ์ประกาศแผนลดต้นทุนเพิ่มอีก 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการปิดสำนักงานบางแห่งที่มีดีมานด์ลดลง

 

นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 108.3 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 100.5 จากระดับ 101.4 ในเดือนพ.ย. โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้รับปัจจัยบวกจากการที่ผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ

 

ส่วนดัชนีการคาดการณ์เงินเฟ้อในช่วง 12 เดือนข้างหน้าของผู้บริโภคสหรัฐลดลงสู่ระดับ 6.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2564 จากระดับ 7.1% ในการสำรวจเดือนพ.ย.

 

หุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.89% หลังจากราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้นขานรับตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ปรับตัวลดลงมากกว่าคาด โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.28% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 1.19% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ทะยานขึ้น 3.23% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 3.22%

 

หุ้นเอเอ็มซี เอนเตอร์เทนเมนท์ โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเครือโรงภาพยนตร์รายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.3% หลังจากบริษัทตัดสินใจระงับการเจรจาซื้อกิจการซีนีเวิลด์ กรุ๊ป (Cineworld Group) ซึ่งเป็นเครือโรงภาพยนตร์ที่มีสาขามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยซีนีเวิลด์ กรุ๊ปได้ยื่นคำร้องต่อศาลสหรัฐเพื่อขอการพิทักษ์ทรัพย์จากการล้มละลายตามกฎหมายมาตรา 11 เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมา หลังจากบริษัทประสบปัญหาหนี้สิน

 

สหรัฐรายงานยอดขายบ้านมือสองร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปีในเดือนพ.ย. ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง อย่างไรก็ดี นักลงทุนมีความหวังว่าข้อมูลดังกล่าวจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

ทั้งนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองดิ่งลง 7.7% สู่ระดับ 4.09 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.17 ล้านยูนิต ส่วนเมื่อเทียบเป็นรายปี ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 35.4% ในเดือนพ.ย.

 

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี PCE จะบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว

 

ทั้งนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 5.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวจากระดับ 6.0% ในเดือนต.ค. ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ คาดว่าจะปรับตัวขึ้น 4.7% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวจากระดับ 5.0% ในเดือนต.ค.

 

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์